เว็บแอพพลิเคชั่น คืออะไร?

เว็บแอพพลิเคชั่น (Web Application) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "เว็บแอป" (Web App) เปรียบเสมือนโปรแกรมประยุกต์บนเว็บ
14 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 โดย
Administrator

เว็บแอพพลิเคชั่น คืออะไร?

เว็บแอพพลิเคชั่น (Web Application) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "เว็บแอป" (Web App) เปรียบเสมือนโปรแกรมประยุกต์บนเว็บที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต เพียงแค่มีเว็บเบราว์เซอร์ เช่น Google Chrome, Mozilla Firefox, Safari หรือ Microsoft Edge ต่างจากโปรแกรมทั่วไปที่ต้องติดตั้งลงบนอุปกรณ์


เว็บแอปพลิเคชั่น นั้นมีความแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไป โดยเว็บไซต์ทั่วไปมักจะนำเสนอข้อมูลในรูปแบบข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ แต่เว็บแอปพลิเคชั่นนั้นจะเน้นการใช้งาน ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเว็บแอปพลิเคชั่นเพื่อทำงานต่างๆ เช่น เล่นเกม เขียนอีเมล จัดการงาน หรือช้อปปิ้งออนไลน์ เปรียบเสมือนมีโปรแกรมประยุกต์มากมายอยู่บนโลกออนไลน์ เพียงแค่คลิกเข้าใช้งาน

ตัวอย่างเว็บแอปพลิเคชั่นที่คุ้นเคย
เว็บแอปพลิเคชั่นนั้นฝังตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของเรามากมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น:

* การสื่อสาร : ไลน์ (LINE), Facebook Messenger, WhatsApp, Telegram
* อีเมล : Gmail, Yahoo Mail, Outlook
* โซเชียลมีเดีย : Facebook, Twitter, Instagram, TikTok
* การทำงาน : Google Docs, Microsoft Office 365, Slack, Trello
* การจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ : Google Drive, Dropbox, OneDrive
* การช้อปปิ้งออนไลน์ : Lazada, Shopee, JD.com, Alibaba
* เครื่องมือการเงิน : PayPal, KBank Online, SCB Easy App
* เกมออนไลน์ : Roblox, Fortnite, Minecraft
* เครื่องมือแปลภาษา : Google Translate, DeepL Translate
 

ข้อดีที่ทำให้เว็บแอปพลิเคชั่นครองใจผู้ใช้
เว็บแอปพลิเคชั่นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายด้วยข้อดีมากมาย ดังนี้:

* การเข้าถึงที่สะดวก : เข้าถึงได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องติดตั้งลงบนอุปกรณ์ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ผู้คนต้องการความคล่องตัว

* การอัปเดตอัตโนมัติ : ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดตั้งเวอร์ชันใหม่ เว็บแอปพลิเคชั่นจะได้รับการอัปเดตอยู่เสมอ มั่นใจได้ว่าใช้งานฟีเจอร์ล่าสุดอยู่เสมอ

* การใช้งานที่ง่ายดาย : ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับผู้ใช้ทุกระดับ

* การทำงานร่วมกัน : ผู้ใช้หลายคนสามารถทำงานบนเว็บแอปพลิเคชั่นเดียวกันได้พร้อมกัน เหมาะกับการทำงานเป็นทีมหรือการเรียนออนไลน์

* ประหยัดค่าใช้จ่าย : เว็บแอปพลิเคชั่นส่วนใหญ่ใช้งานฟรี หรือมีค่าธรรมเนียมรายเดือนที่ไม่แพง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์

 

ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนใช้งานเว็บแอปพลิเคชั่น

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่เว็บแอปพลิเคชั่นก็มีข้อจำกัดบางประการที่ผู้ใช้ควรรู้ ดังนี้:

* การพึ่งพาอินเทอร์เน็ต : ผู้ใช้จำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งานเว็บแอปพลิเคชั่น หมายความว่าหากไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้งานได้

* ความปลอดภัย : เว็บแอปพลิเคชั่นอาจมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กได้มากกว่าโปรแกรมที่ติดตั้งลงบนอุปกรณ์ ผู้ใช้ควรเลือกใช้เว็บแอปพลิเคชั่นจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ และระมัดระวังข้อมูลส่วนตัว

* ประสิทธิภาพ : เว็บแอปพลิเคชั่นอาจทำงานช้ากว่าโปรแกรมที่ติดตั้งลงบนอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตและประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์

 

สถาปัตยกรรมเบื้องหลังเว็บแอปพลิเคชั่น

เว็บแอปพลิเคชั่นส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสองส่วนหลัก ดังนี้:

1. ฝั่งผู้ใช้ (Client-Side) :

    * เป็นส่วนที่ผู้ใช้มองเห็นและโต้ตอบได้โดยตรงผ่านเว็บเบราว์เซอร์

    * มักจะเขียนด้วยภาษา HTML, CSS และ JavaScript

    * ตัวอย่างของฝั่งผู้ใช้ ได้แก่ การกรอกข้อมูลในฟอร์ม, การคลิกปุ่มต่างๆ, หรือการแสดงผลข้อมูลบนหน้าจอ

2. ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side) :

    * เป็นส่วนที่ทำงานเบื้องหลัง เว็บเบราว์เซอร์จะมองไม่เห็น

    * ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล, ติดต่อกับฐานข้อมูล, และส่งผลลัพธ์กลับไปยังฝั่งผู้ใช้

    * มักจะเขียนด้วยภาษาต่างๆ เช่น  PHP, Java, Python, Node.js

    * ตัวอย่างของฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ได้แก่ การบันทึกข้อมูลผู้ใช้ลงฐานข้อมูล, การคำนวณผลลัพธ์ทางธุรกิจ, หรือการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลมาแสดงผล

 

การทำงานร่วมกันระหว่างฝั่งผู้ใช้และฝั่งเซิร์ฟเวอร์

1. ผู้ใช้เริ่มต้นใช้งานเว็บแอปพลิเคชั่น : ผู้ใช้เปิดเว็บเบราว์เซอร์และเข้าไปยังเว็บไซต์ของเว็บแอปพลิเคชั่น

2. เว็บเบราว์เซอร์ร้องขอข้อมูล : เว็บเบราว์เซอร์จะทำการร้องขอข้อมูล (Request) จากเว็บเซิร์ฟเวอร์ โดยระบุ URL (Uniform Resource Locator) ของเว็บแอปพลิเคชั่น

3. เว็บเซิร์ฟเวอร์ประมวลผลข้อมูล : เมื่อเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้รับคำร้องขอ มันจะประมวลผลข้อมูลตามคำสั่ง

    * อาจจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล

    * อาจจะทำการคำนวณบางอย่าง

    * หรืออาจจะโต้ตอบกับระบบอื่นๆ

4. เว็บเซิร์ฟเวอร์ส่งผลลัพธ์กลับไปยังผู้ใช้ : หลังจากประมวลผลข้อมูลเสร็จสิ้น เว็บเซิร์ฟเวอร์จะส่งผลลัพธ์ (Response) กลับไปยังเว็บเบราว์เซอร์ในรูปแบบของเว็บเพจ (HTML)

5. เว็บเบราว์เซอร์แสดงผลลัพธ์ : เว็บเบราว์เซอร์จะทำการแปลผลลัพธ์ (HTML) และแสดงผลบนหน้าจอให้ผู้ใช้เห็น

6. ผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บแอปพลิเคชั่น : ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเว็บแอปพลิเคชั่นผ่านทางหน้าจอ เช่น การกรอกข้อมูลในฟอร์ม หรือการคลิกปุ่มต่างๆ

7. กระบวนการวนซ้ำ : ขั้นตอนที่ 2-6 จะวนซ้ำไปเรื่อยๆ ตามการโต้ตอบของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเว็บแอปพลิเคชั่นได้อย่างต่อเนื่อง

 

รูปแบบการติดต่อสื่อสารระหว่างฝั่งผู้ใช้และฝั่งเซิร์ฟเวอร์

ส่วนใหญ่จะใช้ Hypertext Transfer Protocol (HTTP) ซึ่งเป็นเหมือนภาษากลางที่เว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ใช้ในการสื่อสารกันเอง

ประเภทของเว็บแอปพลิเคชั่น

เว็บแอปพลิเคชั่นสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน ดังนี้:

1. เว็บแอปพลิเคชั่นแบบ Single-page application (SPA) :

    * เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่โหลดข้อมูลทั้งหมดมาไว้ในหน้าเดียว

    * เวลาผู้ใช้ใช้งาน จะมีการอัปเดตข้อมูลบางส่วนบนหน้าจอแทนที่จะโหลดหน้าใหม่ทั้งหมด

    * ทำให้การใช้งานมีความรวดเร็วและลื่นไหล

    * ตัวอย่างของ SPA ได้แก่ Gmail, Facebook, Netflix

 

2. เว็บแอปพลิเคชั่นแบบ Multi-page application (MPA) :

    * เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่แบ่งการทำงานออกเป็นหลายหน้า

    * เวลาผู้ใช้ใช้งาน ต้องมีการโหลดหน้าใหม่ทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนไปยังส่วนต่างๆ ของเว็บ

    * ตัวอย่างของ MPA ได้แก่ เว็บไซต์ข่าวสารทั่วไป, เว็บไซต์องค์กร, เว็บไซต์สำหรับสั่งซื้อสินค้า (แบบดั้งเดิม)

3. เว็บแอปพลิเคชั่นแบบ Progressive Web Application (PWA) :

    * เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่ผสมผสานข้อดีของเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น मोबाइल (โมบาย) (มือถือ)

    * สามารถทำงานได้เหมือนแอปพลิเคชั่นมือถือ เช่น สามารถใช้งานแบบออฟไลน์, ส่ง Push Notification และมีไอคอนที่หน้าโฮมของมือถือ

    * แต่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งผ่าน App Store หรือ Play Store

    * เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานแบบแอปพลิเคชั่นมือถือ แต่ไม่อยากเสียพื้นที่ในการติดตั้ง

4. Content Management System (CMS) :

    * เป็นระบบจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถสร้าง แก้ไข และลบเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม

    * ตัวอย่างของ CMS ที่นิยมใช้ ได้แก่ WordPress, Joomla, Drupal

5. E-commerce application (เว็บแอปพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซ) :

    * เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่ออกแบบมาสำหรับการซื้อขายสินค้าออนไลน์

    * ผู้ใช้สามารถเลือกชมสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อ ชำระเงิน และติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าได้ทั้งหมดบนเว็บแอปพลิเคชั่น


6. Web-based application (เว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับงานเฉพาะทาง) :

    * เป็นเว็บแอปพลิเคชั่นที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานเฉพาะอย่าง

    * ตัวอย่างเช่น เว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับการบริหารจัดการโครงการ, เว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์, หรือเว็บแอปพลิเคชั่นสำหรับการทำบัญชี

 

การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น  ต้องอาศัยความรู้ด้านต่างๆ ดังนี้ :

* ภาษาเว็บ (HTML, CSS, JavaScript) : เป็นพื้นฐานในการสร้างโครงสร้าง, รูปลักษณ์, และการโต้ตอบของเว็บแอปพลิเคชั่น

* ภาษาฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (PHP, Java, Python, Node.js) : ใช้สำหรับการประมวลผลข้อมูล, ติดต่อกับฐานข้อมูล, และทำงานเบื้องหลัง

* ฐานข้อมูล : ใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลของเว็บแอปพลิเคชั่น เช่น ข้อมูลผู้ใช้, ข้อมูลสินค้า, หรือข้อมูลการสั่งซื้อ

* Framework : เป็นชุดของเครื่องมือและไลบรารีสำเร็จรูป ช่วยให้การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่นรวดเร็วและง่ายขึ้น

 

ทรนด์ของเว็บแอปพลิเคชั่นในอนาคต

เทรนด์ของเว็บแอปพลิเคชั่นในอนาคต มีแนวโน้มที่จะเน้นไปที่:

* Progressive Web Application (PWA) : ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานบนมือถือได้ดี

* Single-page application (SPA) : ที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและลื่นไหล

* ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) : ที่จะถูกนำมาผสมผสานกับเว็บแอปพลิเคชั่น เพื่อเพิ่มความชาญฉลาดและความสามารถในการเรียนรู้

* Internet of Things (IoT) : ที่จะเชื่อมโยงเว็บแอปพลิเคชั่นกับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อสร้างระบบอัจฉริยะ

สรุป

เว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ ช่วยให้เราสามารถทำงานต่างๆ ได้สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต  การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เว็บแอปพลิเคชั่นมีประสิทธิภาพและความสามารถที่เพิ่มขึ้น  ในอนาคต เว็บแอปพลิเคชั่นจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต

นิ้ว WEB APPLICATION