ในยุคที่การใช้งานคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ความรู้เรื่องความปลอดภัยไซเบอร์จึงมีความสำคัญอย่างมาก คำว่า “โปรแกรมไวรัส” หรือบางครั้งอาจเรียก “ไวรัสคอมพิวเตอร์” กลายเป็นคีย์เวิร์ดยอดนิยมที่คนมักค้นหาเมื่อพบว่าเครื่องช้า หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ แต่คำถามคือ แล้วจริง ๆ หมายถึงอะไร? มีความแตกต่างกับคำว่า “โปรแกรมแอนตี้ไวรัส” อย่างไร? และผู้ใช้ทั่วไปควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันตัวเอง?
บทความนี้ TECHLEADERS จะพาเพื่อนๆ ชาว Tech ทำความรู้จักกับ โปรแกรมไวรัส ไล่ตั้งแต่ความหมาย ประเภทของไวรัส วิธีการแพร่กระจาย ผลกระทบที่พบ รวมถึงแนวทางเลือกโปรแกรมป้องกันไวรัส และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อให้เพื่อนๆ ชาว Tech มีความรู้ครบถ้วน ได้อย่างเข้าใจและชัดเจน
ความหมายของ “โปรแกรมไวรัส”
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คืออะไร
- ตามคำนิยามของ Computer virus (ไวรัสคอมพิวเตอร์) คือ “ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือชุดคำสั่งบนระบบปฏิบัติการใด ๆ ก็ตาม ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ทำงานในลักษณะที่อาจเป็นการทำอันตราย เช่น แพร่กระจายตัวเอง หรือแก้ไขโปรแกรมอื่นในระบบ”
- หรืออีกรูปแบบหนึ่ง: “โปรแกรมชนิดหนึ่งที่สามารถสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ”
- กล่าวคือ เมื่อพูดว่า “โปรแกรมไวรัส” มักหมายถึงโปรแกรมที่มีลักษณะเป็น มัลแวร์ (malware) ซึ่งแฝงตัวและกระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้
ความแตกต่างระหว่าง “ไวรัส” กับ “โปรแกรมแอนตี้ไวรัส”
- ในทางกลับกัน คำว่า Antivirus software หรือโปรแกรมแอนตี้ไวรัส หมายถึงซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ป้องกัน ตรวจหา และกำจัดไวรัสหรือมัลแวร์ ก่อนที่มันจะเข้ามาทำลายระบบของเรา
- ดังนั้น เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำว่า “โปรแกรมไวรัส คืออะไร” บางทีอาจมีความสับสนระหว่างไวรัส (ภัยคุกคาม) กับโปรแกรมแอนตี้ไวรัส (เครื่องมือป้องกัน)
- จุดที่ควรเน้นคือ: ไวรัส = ปัญหา, โปรแกรมแอนตี้ไวรัส = สิ่งที่ใช้จัดการ/ป้องกันปัญหา
เหตุใดคำว่า “โปรแกรมไวรัส” ถึงเป็นที่นิยม
- เพราะผู้ใช้ทั่วไปมักเข้าใจว่าไฟล์ที่มีไวรัสคือ “โปรแกรมไวรัส” ที่ติดเครื่อง
- และเมื่อเจอปัญหา ก็จะค้นหาโปรแกรมที่ชื่อว่า “ไวรัส” หรือ “โปรแกรมไวรัส” เพื่อทำการสแกนหรือกำจัด
- ดังนั้น การเขียนบทความให้ตรงคีย์เวิร์ด “โปรแกรมไวรัส คืออะไร” จะช่วยตอบโจทย์ผู้ใช้ที่กำลังหาความหมาย และวิธีจัดการ

ประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการของไวรัสคอมพิวเตอร์
จุดเริ่มต้นของไวรัสคอมพิวเตอร์
- มีข้อมูลว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรกชื่อ “Creeper” สร้างขึ้นในปี 1971 (ค.ศ. 1971) เพื่อทดลองบนเครือข่าย ARPANET
- ต่อมาเมื่อมีการใช้งานแผ่นดิสก์ (Floppy Disk) หรือแชร์ไฟล์ / แชร์โปรแกรมผ่านสื่อแล้ว มัลแวร์ประเภทไวรัสและเวิร์ม (worm) เริ่มแพร่หลายมากขึ้น
การแพร่กระจายของไวรัสในยุคต่าง ๆ
- ยุคดิสก์ (Floppy Disk): การติดตั้งโปรแกรม หลอกลวงให้เปิดไฟล์/แผ่นดิสก์ที่ติดไวรัส
- ยุคอีเมล & เครือข่าย (Email & Network): ไวรัสและเวิร์มสามารถแพร่กระจายผ่านอีเมล, แชร์ไฟล์ในเครือข่าย, USB, สื่อเก็บข้อมูลภายนอก ต่าง ๆ
- ยุคอินเทอร์เน็ต & โมบาย (Internet & Mobile): ไวรัสมัลแวร์พัฒนาเป็นโทรจัน (Trojan), แรนซัมแวร์ (Ransomware) และสปายแวร์ (Spyware) มากขึ้น อาศัยช่องโหว่ของระบบ เครือข่าย และอุปกรณ์พกพา
พัฒนาการของโปรแกรมป้องกันไวรัส
- ในช่วงแรก โปรแกรมแอนตี้ไวรัสมีหน้าที่หลักคือ “ตรวจ & ลบ″ ไวรัสที่รู้จักแล้ว
- ต่อมาเมื่อไวรัสมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ใช้การซ่อนตัว (stealth), ใช้การแพร่แบบไม่ต้องรันไฟล์, ใช้ช่องโหว่เครือข่าย → โปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็ต้องพัฒนาในด้าน ฐานข้อมูลไวรัส (virus definitions), การตรวจหาพฤติกรรม (behavioral detection) และ การอัปเดตแบบเรียลไทม์ (real-time update)
- สมัยใหม่: โปรแกรมแอนตี้ไวรัสรวมฟังก์ชันเช่น ไฟร์วอลล์,
ป้องกันฟิชชิ่ง, ป้องกันแรนซัมแวร์,
การสแกนคลาวด์ ฯลฯ
ชนิดของไวรัสและมัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อความเข้าใจที่ครบถ้วน ควรแยก “ไวรัสคอมพิวเตอร์” ออกจาก “มัลแวร์ (malware)” โดยไวรัสเป็นหนึ่งในชนิดของมัลแวร์
มัลแวร์คืออะไร
- มัลแวร์ (Malicious Software) คือ ซอฟต์แวร์ที่มีจุดประสงค์ร้าย ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อขัดขวาง ทำลาย หรือเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)
- ไวรัสคือ โปรแกรมที่สามารถแทรก / แนบตัวเองเข้าไปในโปรแกรมหรือไฟล์อื่น แล้วเมื่อไฟล์นั้นถูกเปิดใช้งาน ไวรัสจึงทำงานและอาจแพร่กระจายไปยังไฟล์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ
เวิร์ม (Worm)
- แตกต่างจากไวรัสที่ว่า เวิร์มสามารถแพร่ได้ด้วยตัวมันเองผ่านเครือข่าย โดยไม่จำเป็นต้องแนบกับไฟล์อื่น ๆ
โทรจัน (Trojan)
- มัลแวร์ที่แฝงมารูปแบบเหมือนโปรแกรมทั่วไป แต่มีฟังก์ชันแอบแฝง เช่น ปลดล็อกประตูหลัง (backdoor) ให้ผู้ไม่หวังดีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้
แรนซัมแวร์ (Ransomware), สปายแวร์ (Spyware), แอดแวร์ (Adware)
- แรนซัมแวร์: เข้ารหัสข้อมูลผู้ใช้แล้วเรียกค่าไถ่
- สปายแวร์: แอบเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว
- แอดแวร์: โฆษณาแฝง, สร้างป๊อปอัปทำให้รำคาญ / รบกวนระบบ
ทั้งหมดถือเป็นมัลแวร์ และโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะต้องสามารถป้องกันได้ด้วย

วิธีการแพร่กระจายของไวรัส / ภัยคุกคาม
ช่องทางการแพร่หลัก
- ตัวอย่างช่องทางทั่วไป ได้แก่ แผ่นดิสก์/USB ที่ติดไวรัสแล้วนำไปเสียบเครื่องอื่น ๆ
- ไฟล์แนบในอีเมลที่น่าสงสัย เช่น ไฟล์ .exe, .pif, หรือไฟล์ที่ดูเหมือนไม่มีนามสกุลอันตรายแต่จริง ๆ เป็นโค้ด
- การดาวน์โหลดโปรแกรม/แอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือเว็บไซต์เถื่อน
- การใช้เครือข่าย – เครื่องหนึ่งถูกติดไวรัสแล้วแพร่ผ่านเครือข่าย LAN, Internet ไปยังเครื่องอื่น ๆ
ปัจจัยที่ทำให้การติดไวรัสง่ายขึ้น
- ระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ไม่อัปเดต: ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้แพตช์ถูกใช้โดยไวรัส / มัลแวร์
- ผู้ใช้เปิดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่มีการล่อลวง (Phishing) หรือไฟล์แนบที่ไม่รู้แหล่งที่มา
- การใช้สื่อเก็บข้อมูลภายนอก (USB/ฮาร์ดดิสก์) ร่วมกันโดยไม่มีการสแกนล่วงหน้า
สัญญาณของการติดไวรัส
ผู้ใช้ทั่วไปอาจสังเกตได้จาก:
- เครื่องทำงานช้าลงมากขึ้น, ค้างบ่อย หรือรีสตาร์ตเอง
- มีไฟล์หาย / ถูกล็อกไม่ให้เปิด / นามสกุลเปลี่ยนไป (ในกรณีแรนซัมแวร์)
- พบไฟล์ / โฟลเดอร์แปลก ๆ ที่ไม่เคยสร้างเอง
- โปรแกรมแอนตี้ไวรัสแจ้งเตือนหรือปิดตัวเองไม่ได้
- มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือส่งข้อมูลออกโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ทำ
ทำไม “โปรแกรมไวรัส” หรือ “ไวรัสคอมพิวเตอร์” ถึงน่ากลัว
ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
- ข้อมูลส่วนตัวเสียหาย / รั่วไหล เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร รูปภาพส่วนตัว
- เครื่องใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำงานช้าหรือใช้งานไม่ได้
- อาจโดนเรียกค่าไถ่ในกรณีแรนซัมแวร์ และเสียเงินหรือสูญเสียโอกาส
ผลกระทบต่อธุรกิจ / องค์กร
- ระบบเครือข่ายขององค์กรถูกโจมตี ส่งผลกระทบทั้งระบบ
- ข้อมูลลูกค้า / ข้อมูลภายในรั่วไหล ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
- ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูล ซ่อมแซมระบบ และหยุดชะงักทางธุรกิจ
สาเหตุที่ไวรัสยังเป็นภัยคุกคามสําคัญ
- แม้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะพัฒนา แต่มัลแวร์ก็พัฒนาเช่นกัน: ใช้การซ่อนตัว วิธีใหม่ช่องโหว่ใหม่
- มีมัลแวร์หลากหลายและจำนวนมาก วัน ๆ หนึ่งอาจมีมัลแวร์ใหม่เกิดขึ้นหลายตัว ๆ
- ผู้ใช้บางคนไม่ตระหนักหรือไม่ได้ปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน

“โปรแกรมแอนตี้ไวรัส” (Antivirus Software) คืออะไร และมีบทบาทอย่างไร
คำนิยามและบทบาทหลัก
- โปรแกรมแอนตี้ไวรัสคือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับ (Detect), ป้องกัน (Prevent) และ กำจัด (Remove) ไวรัสและมัลแวร์ต่าง ๆ ก่อนที่มันจะทำความเสียหายแก่ระบบ
- มีบทบาทสำคัญทั้งบนเครื่องผู้ใช้ทั่วไป เครื่ององค์กร และเซิร์ฟเวอร์
ฟังก์ชันหลักของโปรแกรมแอนตี้ไวรัส
- สแกนแบบเรียลไทม์ (Real-time scanning) ตรวจสอบไฟล์ที่เปิด/รัน / ดาวน์โหลด / แนบมากับอีเมล์
- ตรวจหาภัยคุกคามออนไลน์ เช่น ฟิชชิง (Phishing), เว็บไซต์หลอกลวง, แรนซัมแวร์
- อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากไวรัสใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
- บางโปรแกรมมีฟีเจอร์เสริม เช่น ไฟร์วอลล์, ป้องกันเว็บแคม, VPN, การตรวจสอบภัยคุกคามคลาวด์ เป็นต้น
วิธีเลือกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดี
- ควรเลือกจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง และมีการอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
- ต้องเหมาะสมกับระบบปฏิบัติการที่เราใช้ (Windows, macOS, Android, iOS)
- ตรวจสอบฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การป้องกันเครือข่าย, การป้องกันอุปกรณ์หลายเครื่อง, สนับสนุนการใช้งานในองค์กร
- อย่าใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสหลายโปรแกรมพร้อมกันบนเครื่องเดียว เพราะอาจเกิดการ “ขัดแย้ง” (conflict) ระหว่างโปรแกรม
วิธีป้องกันไวรัสและมัลแวร์ วิธีพื้นฐานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบ (Attachment) หรือคลิกลิงก์ในอีเมลที่ไม่รู้แหล่งที่มา
- สแกนอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก (USB/ฮาร์ดดิสก์) ทุกครั้งก่อนใช้งาน
- อย่าใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน หรือดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ
- ตรวจสอบว่าเครื่องของคุณได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- สำรองข้อมูลสำคัญอย่างสม่ำเสมอ เผื่อกรณีโดนแรนซัมแวร์หรือเครื่องเสียหาย
สำหรับองค์กร / ธุรกิจ
- ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีการจัดการในระดับองค์กร / มีระบบเซ็นทรัลควบคุม (centralized management)
- กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย ได้แก่ การใช้อีเมล, สื่อเก็บข้อมูลภายนอก, การเข้าถึงเครือข่าย
- ทำการตรวจสอบและสแกนอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint) อย่างสม่ำเสมอ
- อบรมพนักงานให้รู้จักภัยคุกคามไซเบอร์และพฤติกรรมที่เสี่ยง
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- อย่าเปิดไฟล์ / โปรแกรม / ลิงก์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก
- อย่าปิดโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพื่อ “ให้เครื่องเร็วขึ้น” เพราะจะเพิ่มความเสี่ยง
- อย่าแชร์รหัสผ่าน/ข้อมูลเข้าถึงเครื่องหรือระบบให้กับบุคคลอื่นโดยไม่มีการตรวจสอบ

เคล็ดลับ “เลือกและใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสให้ได้ผล”
อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
- เมื่อไวรัสประเภทใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน (บางแห่งระบุว่าสูงถึงวันละ 4-6 ชนิด)
- ดังนั้นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีต้องมีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ และระบบตรวจจับแบบ behavioral / heuristic ด้วย
อย่าใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสซ้อนหลายตัว
- เพราะอาจเกิดการทำงานซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันจนเครื่องทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ใช้งานควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ
- โปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมี ไฟร์วอลล์, การสำรองข้อมูล, นโยบายความปลอดภัยของผู้ใช้ ฯลฯ
- ใช้บัญชีผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ admin หากไม่จำเป็น ลดโอกาสไวรัสทำงานได้เต็มที่
เลือกโปรแกรมที่เหมาะกับการใช้งาน
- สำหรับ ผู้ใช้ทั่วไป: อาจใช้เวอร์ชันฟรีหรือพื้นฐานของโปรแกรมที่มีชื่อเสียง
- สำหรับองค์กร: ควรเลือกโปรแกรมที่มีฟีเจอร์องค์กร เช่น endpoint management, central policy, reporting
- ตรวจสอบรีวิว และการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญว่ารุ่น/เวอร์ชัน ใดทำงานได้ดีในสภาพจริง
คำถามเพื่อนๆ ชาว Tech ที่ถามบ่อย
คำถาม : เครื่องช้า / มีไวรัสควรทำอย่างไร?
คำตอบ
- สแกนระบบด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่อัปเดตล่าสุด
- สแกนไฟล์ / โฟลเดอร์ที่ใช้งานอยู่ / ไฟล์ภายนอกที่เพิ่งนำเข้าเครื่อง
- สำรองข้อมูลสำคัญทันที
- พิจารณาล้างเครื่องหรือติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ หากไวรัสรุนแรงมาก
คำถาม : หากมีไวรัสตกค้างแล้ว โปรแกรมแอนตี้ไวรัสสามารถจัดการได้หมดหรือไม่?
คำตอบ
- โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีสามารถตรวจจับ & ลบไวรัสทั่วไปได้
- แต่หากไวรัสแฝงตัวลึก ๆ (Rootkit) หรือเป็นเวอร์ชันใหม่ที่โปรแกรมยังไม่รู้จัก อาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ / ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย
- ดังนั้น การป้องกันล่วงหน้า + การอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ จึงสำคัญมาก

แนวโน้มในอนาคตและสิ่งที่เพื่อนชาว Tech ควรเตรียมตัว
แนวโน้มไวรัส / มัลแวร์
- มัลแวร์มีแนวโน้มใช้ AI และ Machine Learning เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
- การแพร่ผ่าน Internet of Things (IoT) และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น
- แรนซัมแวร์และการโจมตีแบบ Zero Day จะมีมากขึ้น เนื่องจากผู้ร้ายไซเบอร์จะเลือกช่องโหว่ที่ยังไม่มีใครตรวจพบ
สิ่งที่ผู้ใช้ควรเตรียมตัว
- หมั่นอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ อยู่ตลอดเวลา
- ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้นโยบายการใช้งานสื่อเก็บข้อมูลและอุปกรณ์เชื่อมต่ออย่างปลอดภัย
- สำรองข้อมูลสำคัญไว้นอกระบบ ออนไลน์ และ ออฟไลน์
- สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย (Cybersecurity Culture) ในครัวเรือน / องค์กร
สรุป
เมื่อเพื่อนๆ เข้าใจคำว่า “โปรแกรมป้องกันไวรัส คืออะไร” อย่างถ่องแท้แล้ว จะพบว่า :
- ไวรัสคอมพิวเตอร์คือ ภัยคุกคาม (malware) ที่สามารถแพร่ และทำลายระบบต่าง ๆ ได้
- โปรแกรมแอนตี้ไวรัสคือ เครื่องมือที่จะช่วยป้องกัน ตรวจจับ และกำจัดไวรัสเหล่านั้น
- การเลือก และใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอย่างถูกต้อง + ปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัย = ลดความเสี่ยงได้มาก
- ในยุคดิจิทัลที่การเชื่อมต่อเพิ่มมากขึ้น การไม่ให้ความรู้ / ไม่เตรียมตัวตามก็อาจเสียหายได้ทั้ง บุคคล และองค์กร
ด้วยวิสัยทัศน์ของ TECHLEADERS ที่มองเห็นถึงโอกาสและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีระบบ Security จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการป้องกันข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญของธุรกิจ TECHLEADERS เราพร้อมให้คำปรึกษากับผู้บริหารในเรื่อง AI Security หรือการลงทุนวาง ระบบ AI Security ที่คุ้มค่าต่อการลงทุน เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์ เข้าใจกลยุทธ์ทางการตลาด เข้าใจเทคโนโลยี และพร้อมที่จะวิเคราะห์ปัญหาภาพรวม ปัญหาเชิงลึก ธุรกิจของคุณ เรายินดีให้คำปรึกษาพร้อมให้บริการด้าน AI Security