โปรแกรมไวรัส คืออะไร?

25 ตุลาคม ค.ศ. 2025 โดย
Administrator

ในยุคที่การใช้งานคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแพร่หลาย ความรู้เรื่องความปลอดภัยไซเบอร์จึงมีความสำคัญอย่างมาก คำว่า “โปรแกรมไวรัส” หรือบางครั้งอาจเรียก “ไวรัสคอมพิวเตอร์” กลายเป็นคีย์เวิร์ดยอดนิยมที่คนมักค้นหาเมื่อพบว่าเครื่องช้า หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ แต่คำถามคือ แล้วจริง ๆ หมายถึงอะไร? มีความแตกต่างกับคำว่า “โปรแกรมแอนตี้ไวรัส” อย่างไร? และผู้ใช้ทั่วไปควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันตัวเอง?

บทความนี้ TECHLEADERS จะพาเพื่อนๆ ชาว Tech ทำความรู้จักกับ โปรแกรมไวรัส ไล่ตั้งแต่ความหมาย ประเภทของไวรัส วิธีการแพร่กระจาย ผลกระทบที่พบ รวมถึงแนวทางเลือกโปรแกรมป้องกันไวรัส และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อให้เพื่อนๆ ชาว Tech มีความรู้ครบถ้วน  ได้อย่างเข้าใจและชัดเจน

ความหมายของ “โปรแกรมไวรัส”

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คืออะไร

  • ตามคำนิยามของ Computer virus (ไวรัสคอมพิวเตอร์) คือ “ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือชุดคำสั่งบนระบบปฏิบัติการใด ๆ ก็ตาม ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้ทำงานในลักษณะที่อาจเป็นการทำอันตราย เช่น แพร่กระจายตัวเอง หรือแก้ไขโปรแกรมอื่นในระบบ”
  • หรืออีกรูปแบบหนึ่ง: “โปรแกรมชนิดหนึ่งที่สามารถสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ”
  • กล่าวคือ เมื่อพูดว่า “โปรแกรมไวรัส” มักหมายถึงโปรแกรมที่มีลักษณะเป็น มัลแวร์ (malware) ซึ่งแฝงตัวและกระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้

ความแตกต่างระหว่าง “ไวรัส” กับ “โปรแกรมแอนตี้ไวรัส”

  • ในทางกลับกัน คำว่า Antivirus software หรือโปรแกรมแอนตี้ไวรัส หมายถึงซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ป้องกัน ตรวจหา และกำจัดไวรัสหรือมัลแวร์ ก่อนที่มันจะเข้ามาทำลายระบบของเรา
  • ดังนั้น เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำว่า “โปรแกรมไวรัส คืออะไร” บางทีอาจมีความสับสนระหว่างไวรัส (ภัยคุกคาม) กับโปรแกรมแอนตี้ไวรัส (เครื่องมือป้องกัน)
  • จุดที่ควรเน้นคือ: ไวรัส = ปัญหา, โปรแกรมแอนตี้ไวรัส = สิ่งที่ใช้จัดการ/ป้องกันปัญหา

เหตุใดคำว่า “โปรแกรมไวรัส” ถึงเป็นที่นิยม

  • เพราะผู้ใช้ทั่วไปมักเข้าใจว่าไฟล์ที่มีไวรัสคือ “โปรแกรมไวรัส” ที่ติดเครื่อง
  • และเมื่อเจอปัญหา ก็จะค้นหาโปรแกรมที่ชื่อว่า “ไวรัส” หรือ “โปรแกรมไวรัส” เพื่อทำการสแกนหรือกำจัด
  • ดังนั้น การเขียนบทความให้ตรงคีย์เวิร์ด “โปรแกรมไวรัส คืออะไร” จะช่วยตอบโจทย์ผู้ใช้ที่กำลังหาความหมาย และวิธีจัดการ

 โปรแกรมป้องกันไวรัส

ประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการของไวรัสคอมพิวเตอร์

จุดเริ่มต้นของไวรัสคอมพิวเตอร์

  • มีข้อมูลว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ตัวแรกชื่อ “Creeper” สร้างขึ้นในปี 1971 (ค.ศ. 1971) เพื่อทดลองบนเครือข่าย ARPANET
  • ต่อมาเมื่อมีการใช้งานแผ่นดิสก์ (Floppy Disk) หรือแชร์ไฟล์ / แชร์โปรแกรมผ่านสื่อแล้ว มัลแวร์ประเภทไวรัสและเวิร์ม (worm) เริ่มแพร่หลายมากขึ้น

การแพร่กระจายของไวรัสในยุคต่าง ๆ

  • ยุคดิสก์ (Floppy Disk): การติดตั้งโปรแกรม หลอกลวงให้เปิดไฟล์/แผ่นดิสก์ที่ติดไวรัส
  • ยุคอีเมล & เครือข่าย (Email & Network): ไวรัสและเวิร์มสามารถแพร่กระจายผ่านอีเมล, แชร์ไฟล์ในเครือข่าย, USB, สื่อเก็บข้อมูลภายนอก ต่าง ๆ
  • ยุคอินเทอร์เน็ต & โมบาย (Internet & Mobile): ไวรัสมัลแวร์พัฒนาเป็นโทรจัน (Trojan), แรนซัมแวร์ (Ransomware) และสปายแวร์ (Spyware) มากขึ้น อาศัยช่องโหว่ของระบบ เครือข่าย และอุปกรณ์พกพา

พัฒนาการของโปรแกรมป้องกันไวรัส

  • ในช่วงแรก โปรแกรมแอนตี้ไวรัสมีหน้าที่หลักคือ “ตรวจ & ลบ″ ไวรัสที่รู้จักแล้ว
  • ต่อมาเมื่อไวรัสมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ใช้การซ่อนตัว (stealth), ใช้การแพร่แบบไม่ต้องรันไฟล์, ใช้ช่องโหว่เครือข่าย → โปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็ต้องพัฒนาในด้าน ฐานข้อมูลไวรัส (virus definitions), การตรวจหาพฤติกรรม (behavioral detection) และ การอัปเดตแบบเรียลไทม์ (real-time update)
  • สมัยใหม่: โปรแกรมแอนตี้ไวรัสรวมฟังก์ชันเช่น ไฟร์วอลล์, ป้องกันฟิชชิ่ง, ป้องกันแรนซัมแวร์, การสแกนคลาวด์ ฯลฯ

ชนิดของไวรัสและมัลแวร์ที่เกี่ยวข้อง

เพื่อความเข้าใจที่ครบถ้วน ควรแยก “ไวรัสคอมพิวเตอร์” ออกจาก “มัลแวร์ (malware)” โดยไวรัสเป็นหนึ่งในชนิดของมัลแวร์

มัลแวร์คืออะไร

  • มัลแวร์ (Malicious Software) คือ ซอฟต์แวร์ที่มีจุดประสงค์ร้าย ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อขัดขวาง ทำลาย หรือเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)

  • ไวรัสคือ โปรแกรมที่สามารถแทรก / แนบตัวเองเข้าไปในโปรแกรมหรือไฟล์อื่น แล้วเมื่อไฟล์นั้นถูกเปิดใช้งาน ไวรัสจึงทำงานและอาจแพร่กระจายไปยังไฟล์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ

เวิร์ม (Worm)

  • แตกต่างจากไวรัสที่ว่า เวิร์มสามารถแพร่ได้ด้วยตัวมันเองผ่านเครือข่าย โดยไม่จำเป็นต้องแนบกับไฟล์อื่น ๆ

โทรจัน (Trojan)

  • มัลแวร์ที่แฝงมารูปแบบเหมือนโปรแกรมทั่วไป แต่มีฟังก์ชันแอบแฝง เช่น ปลดล็อกประตูหลัง (backdoor) ให้ผู้ไม่หวังดีเข้าควบคุมเครื่องผู้ใช้ได้

แรนซัมแวร์ (Ransomware), สปายแวร์ (Spyware), แอดแวร์ (Adware)

  • แรนซัมแวร์: เข้ารหัสข้อมูลผู้ใช้แล้วเรียกค่าไถ่
  • สปายแวร์: แอบเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว
  • แอดแวร์: โฆษณาแฝง, สร้างป๊อปอัปทำให้รำคาญ / รบกวนระบบ
    ทั้งหมดถือเป็นมัลแวร์ และโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะต้องสามารถป้องกันได้ด้วย

โปรแกรมป้องกันไวรัส

วิธีการแพร่กระจายของไวรัส / ภัยคุกคาม

 ช่องทางการแพร่หลัก

  • ตัวอย่างช่องทางทั่วไป ได้แก่ แผ่นดิสก์/USB ที่ติดไวรัสแล้วนำไปเสียบเครื่องอื่น ๆ
  • ไฟล์แนบในอีเมลที่น่าสงสัย เช่น ไฟล์ .exe, .pif, หรือไฟล์ที่ดูเหมือนไม่มีนามสกุลอันตรายแต่จริง ๆ เป็นโค้ด
  • การดาวน์โหลดโปรแกรม/แอปพลิเคชันจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือเว็บไซต์เถื่อน
  • การใช้เครือข่าย – เครื่องหนึ่งถูกติดไวรัสแล้วแพร่ผ่านเครือข่าย LAN, Internet ไปยังเครื่องอื่น ๆ

ปัจจัยที่ทำให้การติดไวรัสง่ายขึ้น

  • ระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ไม่อัปเดต: ช่องโหว่ที่ยังไม่ได้แพตช์ถูกใช้โดยไวรัส / มัลแวร์
  • ผู้ใช้เปิดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่มีการล่อลวง (Phishing) หรือไฟล์แนบที่ไม่รู้แหล่งที่มา
  • การใช้สื่อเก็บข้อมูลภายนอก (USB/ฮาร์ดดิสก์) ร่วมกันโดยไม่มีการสแกนล่วงหน้า

สัญญาณของการติดไวรัส

ผู้ใช้ทั่วไปอาจสังเกตได้จาก:

  • เครื่องทำงานช้าลงมากขึ้น, ค้างบ่อย หรือรีสตาร์ตเอง
  • มีไฟล์หาย / ถูกล็อกไม่ให้เปิด / นามสกุลเปลี่ยนไป (ในกรณีแรนซัมแวร์)
  • พบไฟล์ / โฟลเดอร์แปลก ๆ ที่ไม่เคยสร้างเอง
  • โปรแกรมแอนตี้ไวรัสแจ้งเตือนหรือปิดตัวเองไม่ได้
  • มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือส่งข้อมูลออกโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ทำ

ทำไม “โปรแกรมไวรัส” หรือ “ไวรัสคอมพิวเตอร์” ถึงน่ากลัว

 ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป

  • ข้อมูลส่วนตัวเสียหาย / รั่วไหล เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร รูปภาพส่วนตัว
  • เครื่องใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำงานช้าหรือใช้งานไม่ได้
  • อาจโดนเรียกค่าไถ่ในกรณีแรนซัมแวร์ และเสียเงินหรือสูญเสียโอกาส

ผลกระทบต่อธุรกิจ / องค์กร

  • ระบบเครือข่ายขององค์กรถูกโจมตี ส่งผลกระทบทั้งระบบ
  • ข้อมูลลูกค้า / ข้อมูลภายในรั่วไหล ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น
  • ค่าใช้จ่ายในการกู้คืนข้อมูล ซ่อมแซมระบบ และหยุดชะงักทางธุรกิจ

สาเหตุที่ไวรัสยังเป็นภัยคุกคามสําคัญ

  • แม้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะพัฒนา แต่มัลแวร์ก็พัฒนาเช่นกัน: ใช้การซ่อนตัว วิธีใหม่ช่องโหว่ใหม่
  • มีมัลแวร์หลากหลายและจำนวนมาก วัน ๆ หนึ่งอาจมีมัลแวร์ใหม่เกิดขึ้นหลายตัว ๆ
  • ผู้ใช้บางคนไม่ตระหนักหรือไม่ได้ปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน

 โปรแกรมป้องกันไวรัส

 “โปรแกรมแอนตี้ไวรัส” (Antivirus Software) คืออะไร และมีบทบาทอย่างไร

คำนิยามและบทบาทหลัก

  • โปรแกรมแอนตี้ไวรัสคือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ตรวจจับ (Detect), ป้องกัน (Prevent) และ กำจัด (Remove) ไวรัสและมัลแวร์ต่าง ๆ ก่อนที่มันจะทำความเสียหายแก่ระบบ
  • มีบทบาทสำคัญทั้งบนเครื่องผู้ใช้ทั่วไป เครื่ององค์กร และเซิร์ฟเวอร์

ฟังก์ชันหลักของโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

  • สแกนแบบเรียลไทม์ (Real-time scanning) ตรวจสอบไฟล์ที่เปิด/รัน / ดาวน์โหลด / แนบมากับอีเมล์
  • ตรวจหาภัยคุกคามออนไลน์ เช่น ฟิชชิง (Phishing), เว็บไซต์หลอกลวง, แรนซัมแวร์
  • อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากไวรัสใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
  • บางโปรแกรมมีฟีเจอร์เสริม เช่น ไฟร์วอลล์, ป้องกันเว็บแคม, VPN, การตรวจสอบภัยคุกคามคลาวด์ เป็นต้น


วิธีเลือกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดี

  • ควรเลือกจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง และมีการอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ
  • ต้องเหมาะสมกับระบบปฏิบัติการที่เราใช้ (Windows, macOS, Android, iOS)
  • ตรวจสอบฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การป้องกันเครือข่าย, การป้องกันอุปกรณ์หลายเครื่อง, สนับสนุนการใช้งานในองค์กร
  • อย่าใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสหลายโปรแกรมพร้อมกันบนเครื่องเดียว เพราะอาจเกิดการ “ขัดแย้ง” (conflict) ระหว่างโปรแกรม

วิธีป้องกันไวรัสและมัลแวร์ วิธีพื้นฐานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

  • หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบ (Attachment) หรือคลิกลิงก์ในอีเมลที่ไม่รู้แหล่งที่มา
  • สแกนอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก (USB/ฮาร์ดดิสก์) ทุกครั้งก่อนใช้งาน
  • อย่าใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน หรือดาวน์โหลดแอปจากแหล่งที่ไม่เชื่อถือ
  • ตรวจสอบว่าเครื่องของคุณได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  • สำรองข้อมูลสำคัญอย่างสม่ำเสมอ เผื่อกรณีโดนแรนซัมแวร์หรือเครื่องเสียหาย

สำหรับองค์กร / ธุรกิจ

  • ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีการจัดการในระดับองค์กร / มีระบบเซ็นทรัลควบคุม (centralized management)
  • กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัย ได้แก่ การใช้อีเมล, สื่อเก็บข้อมูลภายนอก, การเข้าถึงเครือข่าย
  • ทำการตรวจสอบและสแกนอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint) อย่างสม่ำเสมอ
  • อบรมพนักงานให้รู้จักภัยคุกคามไซเบอร์และพฤติกรรมที่เสี่ยง

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • อย่าเปิดไฟล์ / โปรแกรม / ลิงก์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก
  • อย่าปิดโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพื่อ “ให้เครื่องเร็วขึ้น” เพราะจะเพิ่มความเสี่ยง
  • อย่าแชร์รหัสผ่าน/ข้อมูลเข้าถึงเครื่องหรือระบบให้กับบุคคลอื่นโดยไม่มีการตรวจสอบ

 โปรแกรมป้องกันไวรัส

เคล็ดลับ “เลือกและใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสให้ได้ผล”

อัปเดตฐานข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

  • เมื่อไวรัสประเภทใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน (บางแห่งระบุว่าสูงถึงวันละ 4-6 ชนิด)
  • ดังนั้นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีต้องมีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ และระบบตรวจจับแบบ behavioral / heuristic ด้วย

อย่าใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสซ้อนหลายตัว

  • เพราะอาจเกิดการทำงานซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันจนเครื่องทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ใช้งานควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ

  • โปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมี ไฟร์วอลล์, การสำรองข้อมูล, นโยบายความปลอดภัยของผู้ใช้ ฯลฯ
  • ใช้บัญชีผู้ใช้ที่ไม่มีสิทธิ admin หากไม่จำเป็น ลดโอกาสไวรัสทำงานได้เต็มที่

เลือกโปรแกรมที่เหมาะกับการใช้งาน

  • สำหรับ ผู้ใช้ทั่วไป: อาจใช้เวอร์ชันฟรีหรือพื้นฐานของโปรแกรมที่มีชื่อเสียง
  • สำหรับองค์กร: ควรเลือกโปรแกรมที่มีฟีเจอร์องค์กร เช่น endpoint management, central policy, reporting
  • ตรวจสอบรีวิว และการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญว่ารุ่น/เวอร์ชัน ใดทำงานได้ดีในสภาพจริง

คำถามเพื่อนๆ ชาว Tech ที่ถามบ่อย

คำถาม : เครื่องช้า / มีไวรัสควรทำอย่างไร?

คำตอบ

  • สแกนระบบด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่อัปเดตล่าสุด
  • สแกนไฟล์ / โฟลเดอร์ที่ใช้งานอยู่ / ไฟล์ภายนอกที่เพิ่งนำเข้าเครื่อง
  • สำรองข้อมูลสำคัญทันที
  • พิจารณาล้างเครื่องหรือติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ หากไวรัสรุนแรงมาก

คำถาม : หากมีไวรัสตกค้างแล้ว โปรแกรมแอนตี้ไวรัสสามารถจัดการได้หมดหรือไม่?

คำตอบ

  • โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ดีสามารถตรวจจับ & ลบไวรัสทั่วไปได้
  • แต่หากไวรัสแฝงตัวลึก ๆ (Rootkit) หรือเป็นเวอร์ชันใหม่ที่โปรแกรมยังไม่รู้จัก อาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ / ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย
  • ดังนั้น การป้องกันล่วงหน้า + การอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ จึงสำคัญมาก

โปรแกรมป้องกันไวรัส

แนวโน้มในอนาคตและสิ่งที่เพื่อนชาว Tech ควรเตรียมตัว

แนวโน้มไวรัส / มัลแวร์

  • มัลแวร์มีแนวโน้มใช้ AI และ Machine Learning เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
  • การแพร่ผ่าน Internet of Things (IoT) และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น
  • แรนซัมแวร์และการโจมตีแบบ Zero Day จะมีมากขึ้น เนื่องจากผู้ร้ายไซเบอร์จะเลือกช่องโหว่ที่ยังไม่มีใครตรวจพบ

สิ่งที่ผู้ใช้ควรเตรียมตัว

  • หมั่นอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ อยู่ตลอดเวลา
  • ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้นโยบายการใช้งานสื่อเก็บข้อมูลและอุปกรณ์เชื่อมต่ออย่างปลอดภัย
  • สำรองข้อมูลสำคัญไว้นอกระบบ ออนไลน์ และ ออฟไลน์
  • สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย (Cybersecurity Culture) ในครัวเรือน / องค์กร

สรุป

เมื่อเพื่อนๆ เข้าใจคำว่า “โปรแกรมป้องกันไวรัส คืออะไร” อย่างถ่องแท้แล้ว จะพบว่า :

  • ไวรัสคอมพิวเตอร์คือ ภัยคุกคาม (malware) ที่สามารถแพร่ และทำลายระบบต่าง ๆ ได้
  • โปรแกรมแอนตี้ไวรัสคือ เครื่องมือที่จะช่วยป้องกัน ตรวจจับ และกำจัดไวรัสเหล่านั้น
  • การเลือก และใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอย่างถูกต้อง + ปฏิบัติตามแนวทางความปลอดภัย = ลดความเสี่ยงได้มาก
  • ในยุคดิจิทัลที่การเชื่อมต่อเพิ่มมากขึ้น การไม่ให้ความรู้ / ไม่เตรียมตัวตามก็อาจเสียหายได้ทั้ง บุคคล และองค์กร

ด้วยวิสัยทัศน์ของ TECHLEADERS ที่มองเห็นถึงโอกาสและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีระบบ Security จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการป้องกันข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญของธุรกิจ TECHLEADERS เราพร้อมให้คำปรึกษากับผู้บริหารในเรื่อง AI Security หรือการลงทุนวาง ระบบ AI Security ที่คุ้มค่าต่อการลงทุน เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์  เข้าใจกลยุทธ์ทางการตลาด  เข้าใจเทคโนโลยี  และพร้อมที่จะวิเคราะห์ปัญหาภาพรวม ปัญหาเชิงลึก ธุรกิจของคุณ  เรายินดีให้คำปรึกษาพร้อมให้บริการด้าน AI Security 

นิ้ว Security