Odoo มีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร
Odoo เป็นซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่ได้รับความนิยมในระดับสากล ด้วยความสามารถที่ครอบคลุมการจัดการธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน เช่น การขาย การบัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการคลังสินค้า การผลิต และอื่น ๆ อีกมากมาย โปรแกรม Odoo ได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานในธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม Odoo เองก็มีหลายประเภทและหลายเวอร์ชันให้เลือกใช้งาน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักคือ Odoo Community และ Odoo Enterprise ในบทความนี้ TECHLEADERS ตัวแทนจำหน่าย odoo ที่มีความชำนาญ จะพาเจ้าของธุรกิจ หรือ IT Manager สำรวจประเภทของ Odoo อย่างละเอียด พร้อมทั้งข้อแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย และการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณกันครับ
ประเภทที่ 1. Odoo Community ลักษณะเด่นของ Odoo Community
Odoo Community เป็นเวอร์ชันโอเพนซอร์ส (Open Source) ของ Odoo ที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งหรือการใช้งาน ตัวเวอร์ชันนี้เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน ERP ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด หรือองค์กรที่มีทีมพัฒนาภายในที่สามารถปรับแต่งและบริหารจัดการระบบได้เอง
คุณสมบัติที่สำคัญ:
1. ไม่มีค่าใช้จ่าย: Odoo Community เป็นเวอร์ชันฟรีที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ทันที
2. โอเพนซอร์ส: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดและปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ
3. โมดูลพื้นฐาน: รองรับการใช้งานในฟีเจอร์หลัก เช่น การขาย การซื้อ การจัดการคลังสินค้า และการผลิต
ข้อดีของ Odoo Community
1. ต้นทุนต่ำ: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด
2. ปรับแต่งได้ง่าย: สามารถปรับแต่งระบบได้เองหรือผ่านชุมชนนักพัฒนา
3. ชุมชนขนาดใหญ่: มีชุมชนผู้ใช้งานและนักพัฒนาที่สนับสนุนการใช้งาน และปล่อยโมดูลเสริมให้ใช้ฟรี
ข้อเสียของ Odoo Community
1. ไม่มีฟีเจอร์ขั้นสูง: ไม่มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (BI) หรือระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อน
2. ขาดการสนับสนุนจาก Odoo อย่างเป็นทางการ: ไม่มีการบริการหลังการขายหรือการช่วยเหลือจากทีม Odoo โดยตรง
3. ต้องจัดการเอง: ธุรกิจต้องมีทีม IT เพื่อจัดการเซิร์ฟเวอร์และดูแลระบบ
เหมาะกับธุรกิจแบบไหน
Odoo Community เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือองค์กรที่มีทรัพยากรทีมพัฒนาเพียงพอ และต้องการระบบ ERP ที่ปรับแต่งได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
ประเภทที่ 2. Odoo Enterprise ลักษณะเด่นของ Odoo Enterprise
Odoo Enterprise เป็นเวอร์ชันที่มีค่าใช้จ่ายและมีฟีเจอร์ที่ครบครันมากกว่าเวอร์ชัน Community โดยเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการของธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูง และต้องการการสนับสนุนจาก Odoo อย่างเป็นทางการ
คุณสมบัติที่สำคัญ:
1. ฟีเจอร์พิเศษ: มีฟีเจอร์ที่เหนือกว่า เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเซ็นเอกสารดิจิทัล ระบบ Workflow Automation และอื่น ๆ
2. การสนับสนุนอย่างเป็นทางการ: ได้รับบริการช่วยเหลือจากทีมงาน Odoo โดยตรง
3. การอัปเดตระบบ: สามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องเมื่อมีการอัปเดต
ข้อดีของ Odoo Enterprise
1. ฟีเจอร์ครบครัน: รองรับการทำงานที่ซับซ้อนและฟังก์ชันที่ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องการ
2. บริการสนับสนุน: มีการช่วยเหลือจากทีมงาน Odoo และพันธมิตร (Odoo Partners)
3. อัปเกรดง่าย: มีเครื่องมือช่วยในการอัปเกรดเวอร์ชันโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่
ข้อเสียของ Odoo Enterprise
1. ค่าใช้จ่ายสูง: มีค่าลิขสิทธิ์รายปีที่อาจไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
2. ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการ: หากธุรกิจไม่มีทีมพัฒนาภายใน อาจต้องพึ่งพาพันธมิตรของ Odoo ในการปรับแต่งระบบ
เหมาะกับธุรกิจแบบไหน
Odoo Enterprise เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่มีความต้องการใช้งานระบบ ERP ที่ซับซ้อนและต้องการบริการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ
การเปรียบเทียบระหว่าง Odoo Community และ Odoo Enterprise
หัวข้อ |
Odoo Community |
Odoo Enterprise |
ค่าใช้จ่าย |
ฟรี |
มีค่าใช้จ่ายรายปี |
ฟีเจอร์ |
ฟีเจอร์พื้นฐาน |
ฟีเจอร์ขั้นสูงครบครัน |
การสนับสนุน |
ไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ |
มีการสนับสนุนจากทีม Odoo |
ความสามารถในการปรับแต่ง |
สูง (โอเพนซอร์ส) |
สูง (แต่ต้องพึ่งพาพันธมิตรในบางกรณี) |
เหมาะกับธุรกิจ |
ธุรกิจขนาดเล็ก |
ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ |
ประเภทการติดตั้ง Odoo
นอกเหนือจากการแบ่งเวอร์ชันตาม Community และ Enterprise แล้ว Odoo ยังสามารถแบ่งประเภทตามรูปแบบการติดตั้งได้อีกด้วย ได้แก่:
On-Premise
• ติดตั้ง Odoo บนเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรเอง
• เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการควบคุมข้อมูล 100%
• ต้องการทีม IT ภายในองค์กรเพื่อดูแลระบบ
Cloud
• ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ที่ Odoo ให้บริการ
• เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดภาระด้านการจัดการเซิร์ฟเวอร์
• มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามแพ็กเกจ
SaaS (Software as a Service)
• ใช้งานผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์
• เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการเริ่มต้นใช้งานได้ทันที
• ใช้งานได้เฉพาะ Odoo Enterprise
การเลือกประเภท Odoo ให้เหมาะสมกับธุรกิจ
การเลือกประเภทของ Odoo ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้:
1. ขนาดของธุรกิจ: ธุรกิจขนาดเล็กอาจเริ่มต้นด้วย Odoo Community ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ควรพิจารณา Odoo Enterprise
2. งบประมาณ: หากมีงบประมาณจำกัด Odoo Community เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าต้องการฟีเจอร์ครบถ้วน การลงทุนใน Odoo Enterprise จะคุ้มค่าในระยะยาว
3. ความต้องการฟีเจอร์: หากธุรกิจต้องการฟีเจอร์เฉพาะทาง เช่น BI หรือ Workflow Automation ควรเลือก Odoo Enterprise
4. ทรัพยากรด้าน IT: หากธุรกิจไม่มีทีม IT ที่แข็งแกร่ง อาจต้องพิจารณาใช้บริการคลาวด์ของ Odoo
Odoo เป็นระบบ ERP ที่ยืดหยุ่นและมีตัวเลือกหลากหลาย ทั้งในแง่ของเวอร์ชันและรูปแบบการติดตั้ง การเลือกประเภทของ Odoo ควรขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจ งบประมาณ และความต้องการเฉพาะทางขององค์กร หากคุณกำลังมองหาระบบ ERP ที่สามารถปรับแต่งได้ ก่อนขึ้นระบบควรเลือก ตัวแทนจําหน่าย odoo ที่มีความชำนาญเพื่อช่วยปรับแต่งและสนับสนุนระบบให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจคุณ